รับน้อง 7 วัน ทำอะไรบ้าง?

การรับน้องที่ใครหลายคนได้ยินคำนี้แล้วต้องร้องยี้เบือนหน้าหนี ซึ่งกิจกรรมที่ว่านี้ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะได้เห็นในสถานศึกษาที่เราเรียกกันว่ามหาวิทยาลัย หากพูดถึงมหาวิทยาลัยที่ล่ำลือกันว่ารับน้องโหด มีระบบ SOTUS ขึ้นสมอง หนึ่งในนั้นก็ต้องเป็นมหาวิทยาลัยแม่โจ้

ในบทความที่ผมเขียนนี้จะเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ที่เคยได้สัมผัสมาในรั้วมหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่เขาว่าโหดนักโหดหนาแต่กลับไม่ค่อยมีคนรู้กันอย่างกว้างขวางว่าตกลงวันๆมันทำอะไรกัน ทำไมรับน้องยาวถึง 7 วัน ถามไอหน้าไหนก็ไม่ค่อยบอกกัน หรือบอกแต่ไม่หมด บทความนี้ผมจะชี้ชัดๆให้ผู้อ่านได้เห็นพร้อมกับตัดสินด้วยตัวเองได้เลยว่าระบบการรับน้องของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นอย่างไร


ปฐมบท
การรับน้องของ ม.แม่โจ้ ตามที่เข้าใจกันแล้วจะมีหลักๆอยู่เพียง 7 วัน โดยปกติแล้วจะเริ่มวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี ซึ่งในระหว่างที่ผมเขียนนี้ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปแล้วรึเปล่าเพราะตัวผมได้เรียนจบมานานมากๆแล้ว ก็ขอให้เข้าใจกันว่าการรับน้องแบบจัดหนักเข้มข้มจะมีเพียง 7 วันติดต่อกัน หลังจากนั้นในตลอดการศึกษาชั้นปีที่ 1 จะมีการจัดกิจกรรมย่อยไปอีก อาจจะ 3 - 5 ครั้งแล้วแต่ตามที่เบื้องบนได้วางแผนกันไว้ แต่ก่อนที่จะถึง 7 วันรับน้องนั้น นักศึกษาหน้าใหม่ที่มาจากทั่วทุกหนแห่งเพื่อมาเรียนต่อจะต้องเข้ามาทำกิจกรรมสันทนาการ ซึ่งตรงนี้นักศึกษารุ่นพี่จะมีการดูแลเหล่าเฟรชชี่เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นการหอบขนมนมเนยมาให้กิน การจัดกิจกรรมไปช่วยเหลือสังคมเช่นทำความสะอาดโรงเรียนบ้านนอก อะไรก็ว่ากันไป ตรงนี้ผมมองว่าค่อนข้างเป็นสิ่งที่ดีแต่อีกแง่มุมหนึ่งอาจจะเป็นการมองว่าให้นักศึกษาหน้าใหม่เห็นว่ารับน้อง ม.แม่โจ้ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไปในตัว

ทุกอย่างมีแบบแผน
ประเพณีรับน้องของ ม.แม่โจ้ ไม่ได้เป็นเหมือนกับการรับน้องที่เราได้เห็นตามสื่อหรือทีวีทั่วไป ทุกอย่างจะมีแบบแผน การวางแผน การประชุมกันเป็นเดือน เป็นปี ก่อนที่จะทำกิจกรรมรับน้อง รุ่นพี่ทุกคนที่อยู่ ปี2 จะต้องมาทำการฝึกซ้อมรับน้องตามสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในกิจกรรม ซึ่งทุกคนจะได้รับการแบ่งหน้าที่โดยมีการคัดเลือกกันในระหว่างอยู่ชั้นปีที่ 1 ว่าแต่ละครจะทำหน้าที่อะไร

ผมขออธิบายตั้งแต่เฮดใหญ่ไปจนถึงระดับรากหญ้าปฏิบัติการ ซึ่งในกลุ่มเฮดจะมีการเรียกกลุ่มนี้ว่า 'ประเพณี'

ประธานรุ่น - ว่ากันง่ายๆคือเป็นหัวหน้าของนักศึกษาแม่โจ้ในรุ่นนั้นๆ ซึ่งมีการเรียกในแบบแม่โจ้ว่า 'ท่านชาย' ตรงนี้ผมขอข้ามรายละเอียดไปสักหน่อยเพราะก็คล้ายกับการเลือกหัวหน้าห้องที่เราเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าต้องเป็นคนที่มีความสามารถที่ต้องเพรียบพร้อมและมีความเป็นผู้นำ

ท่านหญิง - ใช่แล้วครับ ท่านหญิงก็ทำหน้าที่คล้ายๆกับท่านชายคือเป็นลักษณะผู้นำเหมือนกันแต่จะเน้นการติดต่อกับเหล่านักศึกษาที่เป็นผู้หญิงเสียมากกว่า

หัวหน้าผ้าดำ - ว่ากันง่ายๆคือเหมือนเป็นผู้คุมกฏอะไรทำนองนี้ ในระหว่างกิจกรรมรับน้องหัวหน้าผ้าดำคือคนที่สอนกฏมหาวิทยาลัยให้กับรุ่นน้องปี 1 ครับ ซึ่งความสามารถก็ไม่ต้องอะไรมากมาย เสียงดัง แหกปากได้ทั้งวัน จำกฏได้ ก็โอเคแล้วล่ะ ,ในฝ่ายผ้าดำจะมีผู้ช่วยที่เป็นคนพูดกฏด้วยครับ ส่วนผ้าดำชั้นรากหญ้าจะทำหน้าที่เป็นชุดชาร์จคือวิ่งเข้าไปว๊ากใส่รุ่นน้องในขณะที่นั่งก้มหน้า จากที่สัมผัสมาก็จะมีเข้าไปสอนกฏบ้าง อาจจะพูดอะไรฮาๆขำๆหลุดๆไปบ้าง เพราะช่วงเวลานั้นจะค่อนข้างวุ่นวาย เมื่อหมดเวลาชุดชาร์จก็จะวิ่งออกจากลานกิจกรรม ,เครื่องแบบของชุดผ้าดำสังเกตได้ไม่ยากคือ สวมแว่นดำ จะเรย์แบนของแท้ ของปลอม จีนแดง อันนี้ไม่รู้ขอให้เป็นทรง Aviator ก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะ ส่วนเสื้อจะใส่ชุดฟีล ...เขาเรียกมางั้น ลักษณะชุดคือชุดเขียวผ้าหนาๆเหมือนชุดทหารแต่ไม่ได้เป็นลายพรางครับ

หัวหน้าผ้าแดง - ทำหน้าที่เป็นเหมือนด่านตรวจ ซึ่งกิจกรรมรับน้องของ ม.แม่โจ้ ผู้อ่านคงทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นกิจกรรมแบบปิดไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ฉะนั้นแล้วแทบทุกจุด หัวมุมถนน ตามซอย ประตูเล็ก ประตูใหญ่ของมหาวิทยาแม่โจ้จะถูกกลุ่มผ้าแดงคุมเพื่อตรวจสอบว่าบุคคลที่เดินเข้าออกมหาวิทยาลัยเป็นนักศึกษา ศิษย์เก่า บุคคลากรของมหาวิทยาลัยจริงหรือไม่ ซึ่งกลุ่มผ้าแดงก็จะได้รับคำสั่งจากหัวหน้าผ้าแดงอีกทีครับ

หัวหน้าผ้าขาว - ชื่อก็ราวกับเป็นเทวดา พวกเขาเหล่านี้จะทำหน้าที่เหมือนเป็นปฐมพยาบาล ซึ่งก่อนที่จะเป็นผ้าขาวทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานเพื่อมาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ เพราะระหว่างรับน้องผมบอกเลยว่าจะมีรุ่นน้องเป็นลม ทรุด รับไม่ไหว กันเป็นจำนวนมาก หากอาการหนักจะถูกหามไปส่งโรงพยาบาลสันทรายที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยแทนครับ แต่หากใครที่ป่วยจะถูกหามนำไปส่งสถานที่ที่เรียกว่า 'โซน B' ซึ่งสถานที่นี้เหมือนเป็นสถานที่สำหรับผู้ป่วยหรือสำหรับนักศึกษาที่มีโรงประจำตัวร้ายแรงไม่สามารถทนรับแรงกดดันหนักๆได้ โดยโซน B นั้นจะได้รับการดูแลจากเหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่า 'นางฟ้า' ว่ากันง่ายๆก็คือกระเทยเสียส่วนใหญ่ ...กลับมาที่หน้าที่ของผ้าขาวอีกหน้าที่หนึ่งคือการเป็นรั้วกั้นเหล่านักศึกษาปี 1 หมายความว่าไง? ขณะทำกิจกรรมก็จะมีเหล่าน้องปี 1 นั่งอยู่ตรงกลางรวมชายหญิง ซึ่งผ้าขาวจะต้องมายืนล้อมพร้อมกับไขว้แขนกัน เพื่อ? เพื่อกันน้องใหม่บ้าพลังที่จะวิ่งหนีนั่นเอง

ตำแหน่งที่ผมกล่าวมาด้านบนนี้เหมือนเป็นหน้าที่หลักๆพอสังเขปให้พอเข้าใจในระบบ ซึ่งจริงๆแล้วก็จะมีตำแหน่งด้านอื่นๆที่ไม่ต้องใช้คำดำเนินการมากนักเช่น

ฝ่ายอักษรศิลป์ - มีหน้าที่เขียนใบประกาศ อาจจะเป็นประกาศรวมรุ่นเพื่อประชุมเตรียมทำกิจกรรม ,การเขียนประกาศว่านักศึกษารายชื่อนี้ตาย หากวันไหนเห็นใบประกาศว่ามีคนตายเราก็จะได้ยินเสียงเพลงชาติของ ม.แม่โจ้ ที่ไม่ลงท้ายด้วยคำว่า ไชโย ออกมาให้ได้ยิน ทุกคนที่ได้ยินจะยืนตรงเพื่อเป็นการไว้อาลัยครับ

ลูกชายคนโต - ช่วงรับน้องในท้ายกิจกรรมจะมีกิจกรรมสำคัญคือ'การคลอด' ส่วนกระบวนการเป็นอย่างไรไว้ผมจะเขียนอธิบายภายหลัง ลูกชายคนโตคือคนที่คลอดคนแรก โดยลูกชายคนโตจะถูกคัดเลือกกันไว้ตั้งแต่ช่วงรับน้อง เปรียบเสมือนเป็นหน้าตาของรุ่นที่ต้องมีความสามารถเป็นผู้นำได้ไม่ต่างจากประธานรุ่น ส่วนสาขาที่จะถูกคัดเลือกแน่นอนว่าไม่ใช่ผู้ที่จะมาเรียนบัญชีแน่นอน แต่จะเป็นในกลุ่มสาขาเกษตร ตรงนี้ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าสาขาอะไร แต่ในช่วงยุคผมจะมีอยู่สาขาเดียวครับ เหมือนเป็นการล็อคสเปคไปต้องไปหาที่ไหนไกล

นอกจากนั้นแล้วก็มีตำแหน่ง เหรัญญิก ไว้คอยดูแลเรื่องเงินในองค์กรของเหล่า 'ประเพณี'
,มีสายนันทนาการให้รุ่นน้องได้คลายเครียด ,ตุลาการของประเพณี ซึ่งจะต้องคอยติดต่อประสานงานกับเหล่าตุลาการของแต่ละสาขาเพื่อให้พวกเขาได้ไปอธิบายแผนการต่อๆกันไปเป็นทอดๆ โดยในกลุ่มประเพณีทุกคนจะมีการถูกคัดเลือกมาตั้งแต่รับน้องและมีการคัดเลือกครั้งใหญ่ในลักษณะเข้าค่ายฝึกความอดทนอะไรก็ว่ากันไป ส่วนใหญ่แล้วลูกแม่โจ้จะรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อรุ่นพี่สั่งคำว่า 'ลงสร้อย' อย่างผมสั่งรุ่นน้องว่า 'สร้อย 3 เส้น ปฏิบัติ' รุ่นน้องคนนั้นหากเป็นชายจะต้องทำท่าวิดพื้นแล้วพูดปรัชญาแม่โจ้ 'เลิศน้ำใจ วินัยดี เชิดชูประเพณี สามัคคี อาวุโส ครับ' ว่ากันง่ายๆคือ 1 ท่อนคือลงวิดพื้น 1 ครั้ง รวมแล้วก็คือ 6 ครั้งต่อสร้อย 1 เส้น ถ้าผมสั่ง 3 เส้นก็เอาไปคูณอีกที กรณีเป็นผู้หญิงจะทำท่าในลักษณะยืนเอาปลายเท้าจิกพื้นพร้อมกับย่อขาแล้วย่อขึ้นย่อลงเมื่อถูกลงสร้อยอะไรลักษณะนี้แทนครับ

.
.
.
.
สำหรับบทความนี้ผมขอจบตอนแรกไว้ก่อน เดี๋ยวมันจะยาวเกินไป บทความต่อไปผมจะเข้าเนื้อหาของวันแรกในกิจกรรมรับน้องว่าพวกเขาทำอะไรกันอีกที